วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

การใช้ must และ have to

must = ต้อง , have to = ต้อง
ทั้ง must และ have to ต่างก็แสดงความจำเป็นด้วยกันทั้งคู่
ดังตัวอย่าง
1. All applicants must take an entrance exam.
2. All applicants have to take an entrance.
ทั้ง 2 ประโยคนั้น ผู้สมัครทุกคนต้องผ่านการสอบเอ็นทรานซ์ ไม่มีทางเลือกอื่นๆ เพราะเป็นการบังคับสอบ
3. I'm looking for Sue . I have to talk to her about our lunch date tomorrow.
4. Where's Sue ? I must talk to her right away. I have an urgent message for her.

การใช้ประโยคแสดงความจำเป็นในชีวิตประจำวันเรามักใช้ have to
มากกว่า must คำว่า must จะแรงกว่าคำว่า have to และชี้ถึงภาวะ เร่งด่วนหรือเน้นความสำคัญ ในข้อ 3. ผู้พูดเพียงพูดว่า "I need to do this and I need to do that." แต่ในข้อ 4. ผู้พูด พูดอย่างจริงจังว่า "This is very important !"


วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Present Continuous Tense

Present Continuous Tense

โครงสร้าง: Subject + is, am, are + Verb -ing + ( Object )

หลักการใช้

1. เมื่อการกระทำดำเนินอยู่ในปัจจุบัน (ขณะพูด) และต่อเนื่องมาถึงบัดนั้น และจบในอนาคต เช่น

My uncle is listening to the radio.(ลุงของผมกำลังฟังวิทย)ุ

What is he doing? (เขากำลังทำอะไรเหรอ?)

2. การกระทำที่เกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นขณะนั้นจริง เช่น

More and more people are using Internet. (ผู้คนเริ่มเล่นอินเทอร์เน็ตมากขึ้นทุกที)

Accidents are happening more and more frequently. (อุบัติเหตุเกิดขึ้นมากและบ่อยขึ้น)

3. แสดงเหตุการณ์ในอนาคต เกิดขึ้นแน่นอน เช่น

We are planning to go to the beach next week. (พวกเราวางแผนจะไปเที่ยวทะเลอาทิตย์หน้า)

She is going abroad next Tuesday. (หล่อนจะไปต่างประเทศวันอังคารหน้า)

4. ถ้าประโยคเชื่อมด้วย and ( 2 ประโยค) ให้ตัด Verb to be ที่อยู่หลัง and ออก เช่น

My father is smoking a cigarette and watching television. (คุณพ่อของฉันกำลังสูบบุหรี่และดูโทรทัศน)์

*กริยาที่นำมาใช้ใน Tense นี้ไม่ได้!!!*

1. กริยาที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น

I see the beautiful mountain.(ฉันดูภูเขาอันงดงาม) ไม่ใช้ I am seeing the beautiful mountain.

2. กริยาที่แสดงถึงภาวะของจิต, แสดงความรู้สึก, ความผูกพัน ไม่นิยมนำมาใช้ เช่น

I know him very well (ผมรู้จักเขาดี) อย่าใช้ : I am knowing him very well.

He believes that taxes are too high.(เขาเชื่อว่าภาษีแพงเกินไป) อย่าใช้ : He is believing that taxes are too high.

หลักการเติม -ing

1). กริยาที่ลงท้ายด้วย E ให้ตัด E ทิ้ง แล้วเติม -ing

2). กริยาที่ลงท้ายด้วย EE ให้เติม -ing ได้เลย

3). กริยาที่ลงท้ายด้วย IE ให้เปลี่ยนเป็น Y ก่อน แล้วเติม -ing

4). กริยาที่มีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว พยางค์เดียว เพิ่มตัวสะกดอีกตัวหนึ่ง แล้วเติม -ing

5). กริยาที่มี 2 พยางค์ออกเสียงหนักที่พยางค์หลัง มีสระและตัวสะกดตัวเดียว เพิ่มตัวสะกด แล้วเติม -ing

6). กริยา 2 พยางค์ต่อไปนี้ เพิ่มตัวสะกดเข้ามาแล้วเติม -ing หรือไม่ก็ได้

[แบบอเมริกัน] : travel => traveling, quarrel => quarreling

[แบบอังกฤษ] : travel => travelling, quarrel => quarrelling

หลักการใช้Present Simple Tense

โครงสร้าง : Subject + Verb 1 (s, es)
หลักการใช้
1) ใช้กับเหตุการณ์ที่กระทำซ้ำๆ เป็นประเพณีและเป็นนิสัย (Repeated actions , customs and habits)
- He visits his family every weekend. (repeated action)
- Ethiopians celebrate Christmas on 7 January. (custom)
- He goes to be at nine o'clock every night. (habit)

2) ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงเสมอ (universal truth)
- The earth goes round the sun.
- The sun rises in the east and sets in the west.
- The sun shines by day ; the moon shines by night.

3) ใช้กับความสามารถ (ability)
- He plays the guitar very well.
- That man speaks English as well as he speaks his own language.

4) ใช้แทน Future หลังคำ if , unless, in case ในขณะที่ประโยคเงื่อนไข และคำ when , until, as soon as,
before , after
- If the weather is fine tomorrow , we shall have a picnic.
- We shall go out when the rain stops.
- We can't begin playing as soon as the whistle blows.
- I shall eat before he arrives.

5) คำกริยาบางคน เราจะไม่ใช้รูป present continuous tense แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะกำลังเกิดขึ้น
หรือกำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันก็ตาม เช่น verb to be --- I am late now. กริยาเหล่านี้แบ่งออกเป็น 6 ชนิดคือ
5.1 กริยาที่บ่งภาวะที่บังคับไม่ได้ (verb for states over which we have no control)
ได้แก่ กริยา see , hear , feel , taste , smell เช่น
- I see that it is raining again.
- I hear someone knocking at the door.
- This towel feels very soft.
- This soup tastes good.
- His breath smells bad.
5.2 กริยาที่แสดงความนึกคิด (verb for ideas) เช่น know (รู้) , understand (เข้าใจ) , think (คิด) ,
believe (เชื่อ) , disbelieve (ไม่เชื่อ) , suppose (สมมุติ) , doubt (สงสัย) ,
agree (เห็นด้วย), disagree (ไม่เห็นด้วย) , realize (ตระหนัก) , consider (พิจารณา) ,
notice (สังเกต) , recognize (จำได้) , forget (ลืม) , remember (จำ) , recall (ระลึกได้) เช่น
- He now knows as much about the lesson as you do.
- I believe what he is saying is true.
- We agree to his suggestion.
- The teacher considers him as an industrial srtudent.
- I dony recall where I met him. etc.
5.3 กริยาที่แสดงความชอบและความไม่ชอบ (Verbs for liking and disliking) เช่น like (ชอบ) ,
dislike (ไม่ชอบ) , love (รัก) , hate (เกลียด) , detest (ชิงชัง) , prefer (ชอบ) ,
forgive (ยกโทษ) , trust (ไว้ใจ) , distrust (ไม่ไว้ใจ) เช่น
- I like the movie I saw yesterday.
- She detests people who are unkind to animals.
- We prefer to go out without him.
- I distrust this young lady. etc.
5.4 กริยาที่แสดงความปรารถนา (verbs for wishing) เช่น wish (ปรารถนา) , want (ต้องการ) ,
desire (ปรารถนา) เช่น
- He wishes to leave as early as possible.
- She wants to go to Italy.
- We all desire happiness and health.
5.5 กริยาที่แสดงความเป็นเจ้าของ (Verbs of possession) เช่น possess (เป็นเจ้าของ) ,
have (มี) , own (เป็นเจ้าของ) , belong to (เป็นของ) เช่น
- He possesses two new cars.
- She has more money than she needs.
- I own several actres of land.
- This bicycle belongs to my brother.
5.6 กริยาเฉพาะบางคำ (Certain other verbs) เช่น be (เป็น อยู่ คือ) , appear (ปรากฎ) ,
seem (ดูเหมือน) , mean (หมายความว่า) , please (พอใจ) , displease (ไม่พอใจ) ,
differ (แตกต่าง) , depend (ขึ้นอยู่กับ , พึ่งพา) , resemble (ดูเหมือน) , deserve
(สมควรได้รับ) , refuse (ปฏิเสธ) , result (ส่งผลให้) , suffice (พอเพียง) , consist of
(ประกอบด้วย) , contain (ประกอบด้วย) , hold (บรรจุ) , fit (เหมาะสม คู่ควร) , suit (เหมาะสม) เช่น
- She is very selfish.
- He resembles his father.
- She refuses to marry him.
- New Zealand consists of two islands.
- The pink dress she is wearing suits her. ......etc...
6. ใช้กับ adverbs of time ดังต่อไปนี้
often (บ่อยๆ) , always (เสมอๆ) , sometimes (บางครั้ง) , usually (โดยปกติ) , generally (โดยปกติ),
normally (โดยปกติ) , frequently (บ่อยๆ) , rarely (แทบจะไม่เคย นานๆ ครั้ง) , seldom (แทบจะไม่เคย
นานๆครั้ง) , scarcely (แทบจะไม่เคย นานๆ ครั้ง) , hardly (แทบจะไม่เคย) , never (ไม่เคย) ,
in general (โดยปกติ) , now and again (บางครั้งบางคราว) , from time to time (บางครั้งบางคราว)
occasionally (บางโอกาส) , as a rule (ตามกฎ) , once a week (สัปดาห์ละครั้ง) , once a month
(เดือนละครั้ง) , twice a week (สองครั้งต่อสัปดาห์) , three times a week (สามครั้งต่อสัปดาห์) ,
every day (ทุกวัน) , every other day (วันเว้นวัน) , every (night / month, week/year/
Thursday) เช่น
- He is never late for school.
- He always studies grammar in the morning.

Present Simple Tense

Present Simple Tense – S+V.1

•เหตุการ์ที่เป็นความจริงเสมอ เช่น The sun rises in the east.
•นิสัย หรือ สิ่งที่กระทำซ้ำๆซากๆ เช่น He always wakes up at 6 o’clock.
•แสดงอาการ เช่น I don’t like action films.
•คำแถลงการณ์ คำประกาศ เช่น He pledge his loyalty to the country.
•ใช้ในพาดหัวข่าว เช่น Car bombs in the city.
•คำสั่ง ขั้นตอน หรือ รายการท่องเที่ยวเช่น Heats water to boil then add 2 tea-spoon sugar. หรือ We visit Edinburgh o­n day four.
•เรื่องโดยสังเขป การสรุปเหตุการ์ เช่น May 1945: The war in Europe comes to an end.
•ใน การบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต หรือ การเล่าเรื่องตลก เราสามารถใช้ Present Simple เพื่อ เพิ่มความตื่นเต้น เช่น The police break in and arrest a suspect after 12 hours of negotiate.
•ใช้กับเหตุการณ์ที่จะกำหนดจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความประสงค์ของผู้พูด เช่น Tom retires in 3 years.

เมื่อต้องการใช้ Present Simple Tense เป็นคำถามหรือ ปฏิเสธ ให้นำ do หรือ does มาช่วย และ กริยาที่ตามหลังมาต้องเป็นช่อง 1 เสมอ เช่น
The sun does not (doesn’t) rise in the west.
Does she have any problem?
What course do you take?

กฏการเติม –s, -es

กริยาปกติ เติม –s ได้เลย เว้นแต่
1.ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, z เติม –es
2.do และ go เติม –es
3.ลงท้ายด้วย y หน้า y เป็น พยัญชนะ เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม -es


วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

Present Perfect Tense Subject

Present Perfect Tense Subject
โครงสร้าง: Subject + Verb to have + Verb ช่อง 3
หลักการใช้
1. การกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต ดำเนินเรื่อยมาจนปัจจุบัน เช่น
I have lived in Chiang Mai since 1979.(ฉันอาศัยอยู่ในเชียงใหม่ตั้งปี ค.ศ. 1979)
I have studied English for ten years.(ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นเวลา 10 ปี)
2. เหตุการณ์เพิ่งสิ้นสุดลง มีคำว่า just, already, yet เช่น
I have already finished my homework. (ผมเพิ่งทำการบ้านของผมเสร็จ)
He has not read that book yet.(เขายังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นเลย)
3. เหตุการณ์ที่เกิดในอดีต และสิ้นสุดแล้ว แต่ผลของเหตุการณ์ก็ยังมีมาจนปัจจุบันใน เช่น
I have read them before.(ฉันเคยอ่านเรื่องนี้มาก่อน)
The servant has cooked her dinner.(คนรับใช้ทำอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว)
4. การกระทำซึ่งเริ่มต้น และสิ้นสุดในอดีต แต่อาจเกิดได้อีก มี Adverb of Frequency ด้วย เช่น
I have visited Los Angeles twice.(ผมไปเที่ยวลอสแองเจลลิสมา 2 ครั้ง)
หลักการใช้ Yet, Just, และ Already
Yet (ยัง) ใช้ในประโยคปฏิเสธเสมอ วางไว้ท้ายประโยค
Just (เพิ่งจะ) Already (เรียบร้อยแล้ว) ใช้ในประโยคบอกเล่า วางไว้หน้ากริยาหลัก
*อย่าลืม!!! ต้องแม่นในการผันกริยาช่องที่ 3*

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551

must (not), (don't) have to

In the affirmative have to / must both express the idea of obligation.(It is necessary that you do something.) However, must is only used in the present, and is never used after 'will' or 'may.'
-I must / have to get up early because I start work at 8 a.m.
-I will must / have to leave work early if the snowstorm continues.
In the negative only the verb have to (do/does not have to) expresses the idea of obligation:(It is not necessary that you do something.)
-You don't have to pay for children. They can come in for free.
In the negative must (must not / mustn't) is similar to an imperative: Do not do something:
-You mustn't smoke in the corridors. (= Don't smoke in the corridors.)

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

New Yahoo Directory

Arts & Humanities : Photography, History, Literature, Performing Arts…
Business & Economy : Products, Shopping, B2B, Finance, Jobs…
Computers & Internet : Internet, WWW, Software, Games…
Education : College and University, K-12…
Entertainment : Movies, Actors, Humor, Music, TV…
Government : Elections, Military, Law, Taxes…
Health : Diseases, Drugs, Fitness, Medicine, Hospitals, Medical Centers...
News & Media : Newspapers, TV, Radio…
Recreation & Sports : Sports, Travel, Autos, Outdoors…
Reference : Phone Numbers, Dictionaries, Quotations…
Regional : Countries, U.S. States, Local…
Science : Animals, Astronomy, Biology, Engineering…
Social Science : Languages, Archaeology, Psychology…
Society & Culture : People, Environment, Religion, Home & Garden, Food…